Sunday, January 24, 2016

บทความแปลเรื่อง แกนแม่เหล็กโลกสลับกลับขั้ว MPR (Magnetic Pole Reversal)

วันนี้ผมจะมาแปลข้อความจาก EM Ibrahim Hassan and Blue Solara ให้อ่านกันนะครับ เพราะมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลก ที่เกิดจากค่าความเข้มข้นรุนแรงที่มากขึ้นจากการสลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลกนะครับ สามารถไปอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่ http://theearthplan.blogspot.com/2016/01/recording-of-q-overview-of-2016-em.html

ผมจะแปลเฉพาะเรื่องที่พูดถึง การเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดจาก การกลับขั้วกันของแกนแม่เหล็กโลกนะครับ ซึ่งถ้าใครได้เคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของ  MPR (Magnetic Pole Reversal) หรือแกนแม่เหล็กโลกกลับหัวกลับหางมาก่อน ก็คงได้พบข้อมูลที่หลากหลาย และไม่เหมือนกัน บ้างก็ว่าอีกนาน เพราะมันค่อยๆกลับ, บ้างก็ว่าไม่เกิดขึ้น, บ้างก็ว่าเกิดไปแล้ว. อะครับ.. เรามาดูข้อมูลจากแหล่งนี้ที่เกี่ยวข้องกับการเลื่อนระดับทางมิติของโลกที่จะกลายเป็นมิติที่ห้า, ว่ามันจะเกี่ยวกับการกลับตัวของแกนแม่เหล็กโลกอย่างไรนะครับ.


ในข้อมูลนี้เค้าบอกว่า ยานอวกาศจากสหพันธ์แห่งแสงสว่างได้มาที่โลกแล้วเพื่อช่วยชลอและยับยั้งผลกระทบที่จะเกิดกับโลกของเรา, จากการที่แกนแม่เหล็กของโลกนั้นได้ถึงเวลาที่มันจะต้องรุนแรงขึ้นไปอีกขั้นในกระบวนการของการสลับขั้วของขั้วแกนแม่เหล็กโลก, เพื่อที่มนุษยชาติจะได้ยังไม่เจอกับภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงจนทำให้การพัฒนาทางจิตวิญญาณและสังคมของมนุษย์นั้นหยุดชะงัก. แต่การมาช่วยยับยั้งนี้ ก็มี Dead Line เช่นกัน. (เพราะถ้าไปยับยั้งกระบวนการของการกลับขั้วแม่เหล็กโลกไว้นานเกินไป มันก็เหมือนเป็นระเบิดเวลาที่ เมื่อถึงเวลาที่มันยับยั้งไม่ได้แล้ว มันจะรุนแรงมหาศาลจนทำให้รับมือไม่ได้เลย) คือจะชะลอไปได้ถึงเพียงแค่เดือนมีนาคม 2016 เท่านั้น หลังจากเดือนมีนาเป็นต้นไปจนถึงเดือนกันยายน 2017, การสลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลกจะรุนแรงขึ้นไปอีกระดับ ซึ่งจะส่งผลต่อโลกอย่างเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติต่างๆ ซึ่งรวมถึงภัยธรรมชาติด้วย.


เค้าบอกว่า ไม่ต้องกลัว อย่ากลัว, เพราะความเข้มข้นรุนแรงที่กำลังจะถูกปลดปล่อยจากกระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กโลกสลับขั้วกันนี้, จะส่งผลต่อ DNA ของมนุษยชาติบนโลกนี้ด้วย. คือ จะทำให้มนุษย์สามารถปลดล๊อกข้อจำกัดที่เราใช้ DNA ของเราได้แค่ 2 สายนั้น, จะกลายเป็นเราจะสามารถประยุกค์ใช้ได้ 12 สาย DNA,  ซึ่งก็คือทำให้มนุษย์สามารถปลดล๊อคขีดจำกัดจากรหัสพัมธุกรรม และดึงความสามารถพิเศษต่างๆที่ถูกซ่อนไว้ในตัวเองออกมาได้, ทำให้สามารถที่จะรับมือกับภัยธรรมชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ไปพร้อมๆกัน. เค้าบอกว่าเดิมทีมนุษย์นั้นมีความสามารถทาง DNA ถึง 12 สายอยู่แล้ว แต่เมื่อนานมาแล้วถูกฝ่ายมืดนั้นทำการลดขีดความสามารถของมนุษย์ให้เหลือแค่ 2 สายดีเอ็นเอ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมนั่นเอง.


ตั้งแต่หลังจากเดือนมีนาคม 2016 เป็นต้นไป, เค้าบอกว่าทั้งฝ่ายมืดและฝ่ายแสงสว่างนั้น, ทั้งสองฝ่ายจะโชว์ไพ่ของตัวเองทั้งหมดบนโต๊ะ, ซึ่งก็หมายถึง มันจะทำให้เกิดการเปิดเผยความจริงมากมายต่อมนุษยชาติ. เหตุผลที่การเปิดเผยต่างๆต้องเกิดขึ้นภายในปีนี้ ก็เพราะว่าอีกแค่ปีกว่า ซึ่งคือสิ้นปี 2017 นั้น, ตั้งแต่หลังจากเดือนกันยายน 2017, กระบวนการของการสลับขั้วกันของแม่เหล็กโลกจะยิ่งทวีค่าความเข้มข้นรุนแรง และจะส่งผลต่อโลกและมนุษยชาติอย่างรุงแรงสาหัสมาก. แต่ด้วยความที่ โลกจะถึงเวลาปรับเปลี่ยนให้ตัวเองกลายเป็นมิติที่ 5 ในสิ้นปี 2017 ด้วยเช่นกัน, จึงทำให้มนุษยชาติจะได้เลื่อนระดับทางมิติเพื่อเข้าสู่มิติที่ห้าไปพร้อมกับโลก, ทำให้ไม่ต้องเจอกับภัยธรรมชาติที่รุนแรงสาหัสจากการสลับขั้วกันของแม่เหล็กโลก.


และการที่มนุษย์นั้นเหลือเวลาที่จะใช้เตรียมตัวอีกแค่ปีกว่าๆ, ทำให้ในปี 2016 นี้ เกิดการคาดการณ์ว่า การเปิดเผยต่างๆจะต้องเกิดขึ้น, เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือต่างๆ ทั้งจากมนุษย์ด้วยกัน และจากสหพันธ์แสงสว่างซึ่งก็คือมนุษย์ต่างดาวฝ่ายแสงสว่าง ที่จะมาช่วยเหลือทางวิวัฒนาการต่างๆ, เพื่อให้มนุษยชาติสามารถรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นจากผลของการสลับขั้วกันของขั้วแม่เหล็กโลก, และก็เพื่อให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาความสามารถทาง DNA ของมนุษย์จาก 2 สาย DNA กลายเป็น 12 สาย DNA , อีกทั้งเพื่อช่วยเหลือในการวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณของมนุษยชาติ เพื่อให้พร้อมต่อการเลื่อนระดับทางมิติไปพร้อมกับโลกที่จะกลายเป็นโลกมิติที่ห้า ในสิ้นปี 2017.

Tuesday, January 19, 2016

รักตัวเอง กับ เห็นแก่ตัว ต่างกันอย่างไร..

ถ้าคุณรู้สึกว่า คำว่า รักตัวเอง มันกว้างเหลือเกิน แถมยังทำให้เราเผลอทำอะไรที่เห็นแก่ตัวอีกต่างหาก .. เพราะคำว่ารักตัวเอง แต่ละคนก็แปลความหมายของมันออกมาไม่เหมือนกัน บางคนรักคนอื่นมากกว่าตัวเอง เพราะเค้าก็ถือว่านั่นคือการทำตามหัวใจตัวเอง ก็คือรักตัวเองเหมือนกัน, บางคนรักตัวเองมากกว่าคนอื่น เค้าก็บอกว่าก็เลือกที่จะรักตัวเองมากกว่า มันก็สิทธิ์ของเค้าเหมือนกันแล่ะ. คราวนี้ลองมาดูความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับคำว่า รักตัวเอง ยังไงให้มีประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและจิตวิญญาณของคุณที่กำลังเข้าสู่มิติที่ห้ากันครับ..


รักตัวเองให้ได้ประโยชน์ ไม่ต้องไปดูว่า คุณรักตัวเองมากกว่าคนอื่น หรือคุณรักคนอื่นมากกว่าตัวเองครับ แต่ให้ดูว่า คุณรู้สึกถึงพลังงานความรักของตัวคุณเองหรือยัง (ความรักนะครับ ไม่ใช่ความหลง และไม่ใช่ความใคร่) ผมคงไม่บังอาจบอกว่าความรักคืออะไรนะครับ เพราะทุกคนก็รู้สึกกับมันต่างกันไป แต่อยากให้ลองสังเกตกับอะไรที่เป็นธรรมชาติดูครับ เพราะถ้าเราสังเกตความรู้สึกของความรักกับแฟนเรา หรือคนรักของเรา หรือลูกเรา หรือพ่อแม่เรา บางทีมันก็มีความรู้สึกอื่นปนๆกันอยู่กับความรักของเราน่ะครับ เช่น ความกตัญญูต่อพ่อแม่ของเรา ความหวงลูกของเรา ความหลงในแฟนของเรา คือมันจะเป็นความรู้สึกที่คละกันระหว่างความรักของเราและหน้าที่ของเราน่ะครับ


อะ ทีนี้ลองสังเกต ความรักของคุณ ที่มีต่อธรรมชาติบ้างนะครับ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ แต่คุณเลือกที่จะทำมันเองใช่ไหมล่ะครับ เช่น ตอนที่คุณให้อาหารสัตว์ เช่น หมา แมว ปลา นก ... คุณรู้สึกถึงความรักของคุณเองไหม แม้มันจะเป็นความรู้สึกที่แผ่วบางของคุณ แต่มันก็ทำให้คุณได้สังเกตเห็นความแตกต่าง ระหว่างความรักของคุณที่ไม่มีหน้าที่มาบังคับให้คุณต้องทำหรือถ้าไม่ทำแล้วจะต้องรู้สึกผิดอะไรอย่างนั้นน่ะครับ..  และมันก็เป็นความรู้สึกที่คุณให้ไปด้านเดียวเพียวๆโดยไม่หวังผลตอบแทนอีกด้วย เพราะสัตว์มันตอบแทนอะไรเราไม่ได้ จริงไหมล่ะครับ? (บางคนบอกจริงๆมันก็ตอบแทนด้วยการอยู่เป็นเพื่อนแก้เหงาให้เราไงล่ะ แถมถ้าเป็นเป็นหมาก็เฝ้าบ้านให้อีกต่างหาก..) อะ ทีนี้ลอง สังเกตตอนที่คุณลดน้ำต้นไหม ในสวน หรือในกระถางเล็กๆก็ได้ แล้วรู้สึกถึงพลังงานความรักของคุณเองไหม มันอาจจะเหมือนทำตามหน้าที่ เพราะเดี๋ยวต้นไม้ตาย แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการสื่อสารระหว่างคุณกับธรรมชาตินะครับ เป็นช่วงเวลาที่คุณรู้สึกที่ตัวคุณเพียวๆ ไม่ใช่หน้าที่ทางสังคม.


พลังงานของความรัก ถ้าให้ผมบอกตามความรู้สึกที่ผมเข้าใจนะ มันก็อยู่ตรงกลางระหว่าง ความสุขและความเสียสละ มันไม่ได้ถึงขนาดว่าจะต้องรู้สึกผิดถ้าไม่ได้ทำ และก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกถึงขนาดว่า ต้องทำให้ได้ ไม่งั้นตายแน่.. พลังงานความรักของคุณ ที่อยู่ในตัวคุณ มันก็คือเข็มทิศของคุณด้วย ที่มันจะรู้ได้ว่าจะช่วยให้คุณออกจากการดิ้นรนเอาชีวิตรอดในมิติที่ต่ำกว่าอย่างตอนนี้ เพื่อกลับไปสู่บ้านของคุณในมิติที่สูงกว่าได้อย่างไร, ไม่ใช่การฆ่าตัวตายด้วย เพราะการฆ่าตัวตายไม่ได้ช่วยให้คุณปลดระวางหนี้กรรมเก่าต่างๆทิ้งไปได้ มันยังคงติดตัวคุณไป แถมยังได้หนี้กรรมใหม่ที่คุณทำร้ายตัวเองอีกด้วย.



พลังงานความรักของคุณ คือ สัญชาติญาณที่คุณจะรู้ได้ว่าอะไรดีที่สุด ณ ขณะนั้น ที่คุณจะทำได้ เพื่อเป็นประโยชต์ต่อการปลดปล่อยตัวคุณเองและแม้กระทั่งคนที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณออกจากพันธะทั้งหลาย, มันคือแรงสั่นสะเทือนที่อยู่ตรงกลางที่มีอิสรภาพ ระหว่างความปิติยินดีเมื่อเห็นตัวเอง หรือผู้อื่นมีความสุข และบางครั้งคุณก็เลือกที่จะเสียสละเพื่อปลดเปลื้องความตระหนี่ขี้เหนียวหรือยึดติดในอะไรก็ตามที่คุณมีทิ้งไปได้ด้วย. เพราะสุดท้ายแล้ว เมื่อถึงวันที่ระบบการเงินของโลกเปลี่ยน ทุกคนจะไม่ต้องต่อสู่เพื่อแย่งชิงให้ได้อยู่รอดกันขนาดนี้ เพราะมนุษยชาติไม่ได้มาเกิดที่โลกเพียงเพื่อหาเงินและใช้เงินหาความสุขและตายแล้วเกิดอีกอยู่แค่นี้ ไม่ใช่เลย มนุษยชาติมาเกิดที่โลกนี้เพื่อมีหน้าที่ที่จะมีความสุข เพื่อที่แรงสั่นสะเทือนของความรักในตัวคุณทุกคน มันจะสามารถช่วยโลกใบนี้ให้ได้เลื่อนระดับเข้าสู่มิติที่สูงกว่า. แต่ในเมื่อมนุษย์ก็ยั้งติดอยู่ในการดิ้นรนว่าวันนี้จะกินอะไร พรุ่งนี้จะมีอะไรกิน เจ็บป่วยจะแก้ยังไง ต้องหาเงินจ่ายค่าต่างๆจิปาถะ มีแต่เรื่องต้องคอยระวังต่างๆนาๆ.. ความเครียดทั้งหลายนี้แล่ะครับ ที่ทำให้เราไม่สามารถดำรงอารมณ์ความรู้สึกของเราให้อยู่ในสภาพวะของพลังงานความรักของเราไปตลอดเวลา เพราะต้องคอยคิดแก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตทุกวัน.


เมื่อถึงวันที่วิวัฒนาการบนโลกทั้งด้านเทคโนโลยีและระบบการเงินเปลี่ยนไปในทางที่ทุกคนสบายขึ้นนะครับ, อีกไม่นานหรอกครับ แล้วโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นยุคทอง ยุคแสงสว่าง เพราะมนุษย์มาที่โลกก็เพื่อช่วยโลก แต่ทุกคนลืมมันไปเอง เพราะอยู่ในแรงสั่นสะเทือนต่ำในมิติที่สามนี้นานเกินไป. แต่ตอนนี้ ได้เวลาที่คุณจะรื้อฟื้นความรู้สึกที่อยู่ข้างในตัวคุณ ด้วยสัญชาติญาณของคุณ มันจะบอกคุณได้ ว่าอะไรถูก อันไหนใช่, เมื่อเวลาที่คุณเชื่อมโยงกับมิติที่สูงกว่าได้ ผ่านทางความรู้สึกของพลังงานความรักของคุณ คุณจะรู้ ว่าคุณกำลังได้ทำหน้าที่ของคุณ นั่นก็คือการพาโลกเข้าสู่มิติที่สูงกว่าตรงนั้น ในแรงสั่นสะเทือนที่สูงกว่า ที่คุณเชื่อมมันได้แล้ว และคุณอยู่ที่โลก เหมือนคุณมีตะขอ คอยเกี่ยวโลกเข้าสู่มิติที่ห้าหรือสูงกว่านั้น. จิตวิญญาณของโลกหรือไกอา เธอคือมิติที่ห้าอยู่แล้วนะครับ เรามาที่นี่เพื่อเชื่อมโยงกับมิติที่สูงกว่า และพาร่างกายของไกอา หรือหมายถึง โลกทางกายภาพ ที่เราเห็นด้วยตาเปล่านี้ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นมิติที่ห้า หก เจ็ด ซึ่งจะสอดคล้องกับจิตวิญญาณของไกอาจริงๆ. เมื่อคุณเชื่อมโยงตัวตนที่สูงกว่าของคุณได้แล้ว มันจะเหมือนเข็มทิศที่คอยช่วยบอกตัวคุณเองและแม้กระทั่งคนที่อยู่รอบตัวคุณ ที่เขาสามารถสัมผัสถึงพลังงานความรักของคุณได้ เท่ากับคุณก็ได้ช่วยให้เขาเหล่านั้นค่อยๆตื่นขึ้นสู่พลังงานความรักของพวกเขาเช่นกัน และโลกใบนี้ก็จะเปลี่ยน เป็นโลกยุคทองสำหรับทุกๆคนบนโลก ให้ได้อยู่เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการที่โลกจะปรับมิติของโลกเข้าสู่มิติที่ห้า ที่ทุกคนก็จะได้เป็นสักขีพยานในภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ไปพร้อมๆกันกับสหพันธ์กาแล็กติก ที่มาช่วยเหลือโลกในการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่มิติที่ห้านี้ด้วย.

ความรักของคุณ จะนำทางให้คุณก้าวพ้นอุปสรรคทั้งหลาย

หากคุณกำลังเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกของคุณ ที่เคยมีต่อตัวคุณ และสิ่งต่างๆที่คุณเคยตีค่ามันไว้อย่างที่คุณคิดว่าเป็นเช่นนั้น, แต่ ณ วันเวลาตอนนี้ ที่แรงสั่นสะเทือนของโลกและของคุณกำลังเชื่อมโยงกับมิติที่สูงกว่า (จิตวิญญาณของเราคือ พลังงานที่มีแรงสั่นสะเทือน หรือจะเรียกว่า ความถี่ของพลังงานก็ได้) จนทำให้คุณรู้สึกว่า คุณกำลังมีคุณอีกคนโผล่ออกมาในความรู้สึกของคุณ ซึ่งคุณคนนี้ ตีค่าทุกอย่างไม่เหมือนคุณคนเดิม.


เช่น คุณเริ่มไม่หลงในวัตถุนิยม, คุณเริ่มรู้สึกว่าตอนมีเงินอิ่มท้องกว่าตอนไม่มีเงิน แต่ตอนไม่มีเงินมีความสุขกว่าตอนมีเงิน, คุณเริ่มไม่สนใจเรื่องรสนิยมการแต่งตัว, คุณเริ่มรู้สึกว่าอยู่คนเดียวก็ไม่เหงาเท่าไหร่, คุณเริ่มรู้สึกว่าเวลาที่เดินเป็นเส้นตรงไม่มีแล้ว เหมือนเวลามันอยู่กับที่ ณ เวลาปัจจุบันขณะนั้นไปเรื่อยๆ จนคุณไม่ค่อยดูนาฬิกาว่ากี่โมงแล้วด้วยซ้ำ, คุณเริ่มไม่หลงในกามอารมณ์ ถ้าเผลอหลงก็รู้ตัวว่ากำลังหลง ไม่ใช่ไม่รู้ตัวเหมือนแต่ก่อน, คุณเริ่มรู้สึกอยากมีชีวิตง่ายๆ ไม่ต้องปวดหัว เพราะสิ่งที่คุณเคยต้องพยายามไขว่คว้าทั้งหลายนั้น คุณไม่ต้องการแล้วตอนนี้.



แสดงว่า คุณกำลังเชื่อมโยงและสอดประสานหลอมรวมกับจิตวิญญาณของคุณที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าครับ .. (งง อีกละเนาะ) เปรียบเทียบให้เห็นภาพกับตอนคุณเล่นเกมส์ครับ คุณต้องเลือกตัวครซักตัวในเกมส์ เพื่อเล่นเกมส์นั้น โดยที่ตัวละครตัวนั้น มันก็ไม่รู้หรอกว่า คุณกำลังกำกับควบคุมมันอยู่ คุณต้องพยายามช่วยเหลือตัวละครของคุณในเกมส์นั้นให้มันชนะเกมส์นั้นให้ได้ ถูกมั้ยครับ? .. เหมือนกันกับตัวตนของคุณอีกคนที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าเราตอนนี้ ซึ่งก็คือตัวคุณเองนั่นแล่ะครับ แต่มันอยู่แยกมิติกันไงครับ ทำให้คุณจำตัวคุณได้แค่ตัวคุณในมิติที่สามนี้ แต่คุณจำตัวคุณที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าขึ้นๆไปไม่ได้ ณ เวลาเดียวกัน.


ยกตัวอย่างที่โลกของเรา การที่โลกกำลังแปรเปลี่ยนกลับคืนสู่มิติที่ห้าได้ ก็เพราะโลกทางกายภาพได้เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของโลกที่อยู่ในมิติที่ห้าได้แล้ว ทำให้ลักษณะกายภาพต่างๆของโลกกำลังหลวมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของโลกที่ได้อยู่ในมิติที่ห้าอยู่แล้วตอนนี้.


สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่กับโลกใบนี้ ก็เลยพลอยได้ประโยชน์ไปด้วย ซึ่งก็คือมนุษยชาติด้วย, จึงทำให้เกิดการเคลียร์ชำระและทำความสะอาดกรรมส่วนตัวของแต่ละบุคคลอย่างรวดเร็ว เพราะจิตวิญญาณที่แท้จริงของแต่ละคนกำลังตื่นขึ้นมาแล้ว ซึ่งก็คือตัวตนแห่งความรักที่อยู่ในมิติที่ห้าขึ้นไป (ในจักรวาล ตั้งแต่มิติที่ห้าขึ้นไป จะมีแต่แรงสั่นสะเทือนของพลังงานแห่งความรัก ของแต่ละจิตวิญญาณ) (งง อีกแล้วสิเนาะ) ก็คือเพราะ ถ้าเราจะกลับคืนสู่ตัวตนที่สูงกว่าของเรา เราจะหอบเอาแรงสั่นสะเทือนต่ำทั้งหลายไปด้วยไม่ได้ครับ 


แรงสั่นสะเทือนต่ำทั้งหลาย ก็คือ ความกลัว ความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความหลง ความไคร่ ความอะไรหลายแหล่ที่ดราม่าทั้งหลาย ที่คุณกำลังจะถอดมันออกไปจากตัวคุณแล้วตอนนี้ (ซึ่งแต่ละคนก็มีกรรมเก่าต่างกัน ก็มีระยะเวลาเคลียร์กรรมของตัวเองไม่เท่ากัน และเจอประสบการณ์ที่แตกต่างกันด้วย ล้วนแล้วเพื่อทำให้จิตวิณญาณของผู้นั้นได้กลับคืนค่าความรักให้ได้เต็มร้อยที่สุด) คุณจะหอบความรู้สึกของแรงสั่นสะเทือนต่ำทั้งหลายเข้าสู่มิติที่ห้าขึ้นไปไม่ได้ (ซึ่งโลกกำลังจะกลายเป็นมิติที่ห้า นึกภาพออกไหมล่ะ) คุณจะสามารถอยู่ในมิติที่ห้าขึ้นไปได้นั้น คุณต้องกลายเป็นจิตวิญญาณที่มีแรงสั่นสะเทือนสูง ซึ่งมีเพียงแรงสั่นสะเทือนเดียวครับ นั่นก็คือ แรงสั่นสะเทือนของความรักของคุณนั่นเอง.

Monday, January 18, 2016

โลกยุคทอง โลกมิติที่ห้า Nova Earth หมายถึง? Part 2

ดูคลิปการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะของเราอีกทีให้เข้าใจลักษณะของการโคจรของดวงอาทิตย์ของเรานะครับ ว่าดวงอาทิตย์ของเราโคจรรอบกาแล็กซี่ทางช้างเผือกอย่างไร

ทีนี้ ผมจะอธิบายให้เห็นภาพชัดๆเข้าไปอีกนะ ดูรูปกาแล็กซี่ทางช้างเผือกข้างล่างนี้ และตำแหน่งของระบบสุริยะของเรานะครับ

ลักษณะการโคจรรอบกาแล็กซี่ของระบบสุริยะของเรา มันก็คล้ายๆ เวลาเราสอยได้ขึ้นและลงผ้าที่เรากำลังเย็บนั่นแล่ะ .. (ไม่งงเนาะ) คือระนาบของกาแล็กซี่ก็เหมือนเป็นผ้าที่เรากำลังเย็บไงล่ะ (สมมุติๆ) แล้วดวงอาทิตย์ของเราก็พุ่งทะยานขึ้นทะลุระนาบของกำแล็กซี่ออกอยู่ในความมืด แล้วก็โค้งทะยานกลับตัวลงมาทะลุระนาบของกาแล็กซี่อีก จนทะลุออกไปอีกฟากหนึ่งของระนาบของกาแล็กซี่ ซึ่งก็คือความมืดเหมือนกัน (อย่างนี้ไปเรื่อย ลักษณะคล้าย ว่ายน้ำท่าผีเสื้อนั่นแล่ะอะ ขึ้นลงๆ ไปเรื่อย แต่ว่าหนึ่งรอบเต็มที่ที้งขึ้นและลงเนี่ย ใช้เวลา 26,000 ปีนะครับ และมนุษยชาติที่อยู่บนโลกตอนนี้ ก็คือได้มาเกิดในช่วยที่ ระบบสุริยะของเราทะยานเข้าสู่ระนาบของกาแล๊กซี่ทางช้างเผือก หรือโฟตรอนเบลไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2012 ที่ปฏิธินมายาสิ้นสุดลงนั่นแล่ะครับ ซึ่งก็คือ สุ้นสุดการดำรงอยู่ในความมืดนอกระนาบของกาแล็กซี่แน่ะล่ะครับ. 


ทีนี้.. ดูรูปข้างบนนี้ต่อนะครับ ช่วงความกว้างระนาบของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก ที่เรากำลังเข้ามาแล้วนะ (เข้ามาตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2012 ที่ปฏิธินมายาสิ้นสุดเมื่อ 21 ธ.ค. 2012 นั่นแล่ะครับ) ช่วงความกว้างของระนาบคือ 2,000 ปี และนี่แล่ะ เราเข้ามาได้สามปีแล้วนะครับ ปี 2016 นี่คือปีที่สุดแล้วที่เราอยู่ในระนาบแห่งแสงสว่างของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก. ซึ่งความอัศจรรย์ของอะไรๆที่มันไม่เคยเป็นไปได้ ตอนที่อยู่ในความมืดนอกระนาบของกาแล็กซี่ ถึง 11,000 ปี ที่ผ่านมา มันก็กำลังจะกลับเป็นไปได้ เพราะได้เข้ามาสู่โฟตรอนเบล หรือระนาบของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกอีกครั้งแล้ว. ซึ่งโลกของเรา หรือ ไกอา เธอกำลังฟื้นคืนร่างกายของเธอ ซึ่งก็คือโลกทางกายภาพที่เราเห็นกันอยู่นี้ ที่กำลังจะตายเพราะการถูกทำลายด้วยสารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งจากสงครามที่ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ ทั้งการปล่อยแก๊สทำลายอากาศ ทำให้อากาศเป็นพิศ ทั้งการขุดเจาะลงไปใต้โลก เพื่อดูดใช้แร่ธาตุต่างๆ, อะไรหลายๆอย่างที่มนุษย์เคยเบียดเบียนโลกใบนี้มานั่นแล่ะครับ จนทำให้โลกกำลังจะตาย.


แต่.. ไกอา ตอนนี้เธอได้รับความช่วยเหลือ ทั้งจากการถึงเวลาได้โคจรเข้าสู่ระนาบเดียวกับแสงสว่างของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก และจากการช่วยเหลือจากสหพันธ์กาแล็กติก จากดวงดาวอื่น และจากมิติที่สูงกว่าอื่นๆด้วย ล้วนแล้วมาเพื่อช่วยเหลือโลกของเรา ให้เธอได้ฟื้นคืนสภาพจากที่กำลังจะตาย ในมิติที่สาม ให้ได้กลับคืนสู่มิติที่ห้า ในแบบที่เธอเคยเป็นเมื่อ 11,000 ปีที่แล้ว (เอาล่ะ ถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดว่าผมบ้า หรือ บางคนนึกภาพออก และเข้าใจด้วยสัญชาตญาณในตัวคุณที่กำลังจะตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล .. ก็ขอให้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันต่อเองนะครับถ้าต้องการข้อมูลแบบเป๊ะๆ  เพราะ.. ผมจะเน้นแค่ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของโลก และจิตวิญญาตของสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลก ซึ่งก็คือ มนุษยชาติด้วยเช่นกันนะครับ)

โลกยุคทอง โลกมิติที่ห้า Nova Earth หมายถึง? Part 1

โลกใบนี้ที่เราทุกคนบนโลกอาศัยอยู่นี้นะครับ มันกำลังเปลี่ยนแปลงตัวมันเองทางกายภาพเพื่อให้สอดคล้องกับจิตวิญญาณที่แท้จริงของโลก 


อย่าพึ่ง งง นะครับ... ผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟังด้วยความเข้าใจที่ผมก็อ่านมาจากเว็บนอกทั้งหลายที่คุณเองก็สามารถหาข้อมูลได้ในกูเกิ้ลด้วยตัวเอง เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ เพราะงั้นผมจึงจะเล่าให้ฟังสำหรับผู้ที่อยากรู้ข้อมูลคร่าวๆก่อน แล้วจึงค่อยไปหาข้อมูลเพิ่มเต็มต่อเองนะครับ


จิตวิญญาณของโลก = โลกของเราก็มีจิตวิญญาณเหมือนกับที่มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ก็ล้วนมีจิตวิญญาณนะครับ (สัตว์และต้นไม้ก็มีเช่นกัน). จิตวิญญาณของโลกใบนี้เธอชื่อว่าไกอา Gaia ซึ่งเชื่อมอยู่กับมิติที่ห้า (อย่าพึ่ง งง อีกรอบนะครับ)   

จิตวิญญาณของเราสามารถเลื่อนระดับได้นะ จากสามไปสี่ จากสี่ไปห้า จากห้าไปหก เจ็ด แปด ก็ว่ากันไปอะนะครับ.. แต่ตอนนี้ผมจะเน้นตรงการเลื่อนระดับไปที่มิติที่ห้าของโลกเรานี่แล่ะครับ. 


เอาล่ะ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่จะไปหาข้อมูลเพิ่มเองละกันนะครับ.. คือว่า จิตวิญญาณของโลกเราอยู่ในมิติที่ห้าอยู่แล้ว และเดิมที กายภาพของโลกเราก็เคยเป็นกายภาพแบบของมิติที่ห้า หก เจ็ด แต่ไกอา เธอได้ลดระดับของกายภาพของเธอให้เป็นมิติที่สาม เมื่อนานมาแล้วล่ะ (ไม่อยากจะเล่าแบบว่ากี่ปีที่แล้ว อะไรแบบเป๊ะๆ นะ จะพูดแค่ให้เข้าใจได้คร่าวๆนะครับ) 


แต่ตั้งแต่ สิ้นปี 2012 ตามที่ปฏิทินของเผ่ามายา ที่ได้ระบุว่าวันที่ 21-22 ธันวาคม 2012 คือวันสิ้นสุดของปฏิธินของเผ่าเค้านั้น.. ก็คือว่า มันสิ้นสุดการที่ระบบสุริยะของเราอยู่ในช่วงความมืดนอกกาแล็กซี่ทางช้างเผือก, เพราะระบบสุริยะของเราได้เคลื่อนที่เข้าสู่ระนาบเดียวกันกับกาแล็คซี่ทางช้างเผือก ซึ่งก็คือ ได้เคลื่อนที่เข้าสู่ย่านแสงสว่างของกาแล็กซี่นั่นเองครับ (อ่า งง อีกรอบแล้วสิเนาะ) ไปดูคลิป การโคจรของดวงอาทิตย์นี้กันก่อนนะครับ แล้วคุณจะเข้าใจใหม่ว่า ดวงอาทิตย์ของเราไม่ได้อยู่นิ่งๆเพื่อรอให้โลก หรือดาวบริวารอื่นๆได้โคจรรอบดวงอาทิตย์แค่นั้นนะครับ เพราะ.. จริงๆแล้วดวงอาทิตย์เปรียบเหมือนเป็นดาวหางลูกไฟ ที่โคจรรอบๆจุดศูนย์กลางของกาแล๊กซี่ทางช้างเผือก โดยที่ดาวบริวารของดวงอาทิตย์รวมถึงโลกของเราก็โคจรรอบดวงอาทิตย์ไปในตัวด้วย. พูดๆง่ายคือ ระบบสุริยะของเราทั้งยวง ไม่เคยอยู่ตรงตำแหน่งเดิมซ้ำไปซ้ำมาในทางช้างเผือกนี้นะครับ เพราะมันโคจรไปเรื่อยๆเพื่อหมุนรอบจุดศูนย์กลางของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกน่ะครับ.